ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จิตรกร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จิตรกร แสดงบทความทั้งหมด

Davinci สุดยอดจิตรกรและนักประดิษจินตนาสร้างสรรค์ คิดค้นสุดล้ำสมัยที่ทำให้มีไอเดียแจ่มๆจากยุคอดีตถึงอนาคต

Davinci สุดยอดจิตรกรและนักประดิษจินตนาสร้างสรรค์ คิดค้นสุดล้ำสมัยที่ทำให้มีไอเดียแจ่มๆจากยุคอดีตถึงอนาคต

Davinci ภาพวาดใบหน้าตนเองวัยหนุ่มกับวัยชราของดาวินซี่

(มีผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาบางคนระบุว่า ใบหน้าโมนาลิซ่าคือ ใบหน้าดาวินซี่ ในเพศหญิง

เพราะประวัติที่ไม่เคยแต่งงาน/หมกมุ่นกับงานและชอบคบเพื่อนชาย)

Leonardo di ser Piero Da Vinci เป็นทั้งศิลปินและนักวิทยาศาสตร์
อยู่ในช่วงยุคสมัยยุคมืดของยุโรป ระหว่าง 15 เมษายน 1452(1995) กับ 2 พฤษภาคม 1519(2062)

ผลงานของเขาหลากหลายมาก เช่น วาดรูป ปฏฺิมากรรม คณิตศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์
สถาปัตยกรรมศาสตร์ ดนตรีกายวิภาคศาสตร์ ธรณีวิทยา ภูมิศาสตร์ พฤกษ์ศาสตร์

ผลงานที่จะนำเสนอต่อไปนี้ คือ ผลงานทางด้านวิศวกรรมศาสตร์
ซึ่งยังเป็นเรื่องลึกลับว่าผลงานของดาวินซี่ คิดค้นก่อนและมาก่อนกาลเวลา
เพราะยุคนั้นงานหล่อโลหะหรือเครื่องจักรกลยังผลิตไม่ได้เหมือนปัจจุบัน
ส่วนมากงานของดาวินซีมักจะผสมผสานกับงานไม้เป็นหลัก

1. Spring powered car รถยนต์พลังงานสปริง

ผลงานประดิษฐ์ชิ้นนี้ ประกอบด้วยคุณสมบัติ
เครื่องจักรกลในกาลก่อนกับกาลปัจจุบัน
เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เป็นครั้งแรกของโลก ด้วยกลไกจากสปริงและเกียร์ที่ตั้งไว้
กลไกจากสปริงในภายหลังเป็นตัวขับเคลื่อนพลังงานนาฬิกา(แบบไขลาน/อัตโนมัติ)

ขณะที่บางคนคิดว่าเป็นกลไกทางคอมพิวเตอร์รุ่นแรก
ที่มีระบบการเคลื่อนไหวตามโปรแกรมที่ตั้งไว้(ได้มีการสร้างตามแบบร่างและสามารถทำงานได้จริง)

2. Knight Robot อัศวินหุ่นยนต์

ผลการศึกษาและเข้าใจด้านกายวิภาคศาสตร์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของมนุษย์

นำไปสู่การเคลื่อนไหวด้วยกลไกภายใน
ด้วยความเชื่อและมั่นใจในตนเอง
ดาวินซี่จึงได้สร้างหุ่นยนต์อัศวินพร้อมเกราะกำบังร่างกาย

หุ่นยนต์นี้สามารถเดิน ยืน นั่ง ชูมือขึ้นลง เปิดและปิดปาก รวมทั้งขยับหัวไปมา
โชคร้ายหุ่นยนต์ตัวนี้ถูกทำลายหรือสูญหายไป

3. Tank รถถัง

รถถังคันนี้ใช้พลังงานขับเคลื่อนด้วยคนสี่คนและมีปืนคาบศิลาจำนวนอีกหลายกระบอก

เพื่อปกป้องผลงานจากสายลับ
และศัตรูที่มีศักยภาพในการลอกเลียนแบบ
ดาวินซี่จึงวางตำแหน่งเกียร์กลับด้านไว้
ทำให้รถถังเลียนแบบทำงานไม่ได้

4. Parachute ร่มชูชีพ

มีการจำลองแบบและทดสอบเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2000(2543)
ผลการทดสอบผ่านอย่างสมบูรณ์
ผู้ทดสอบยืนยันว่าร่มชูชีพแบบนี้ลงได้อย่างนิ่มนวลกว่าแบบปัจจุบัน
แต่ตามแบบของดาวินซีแล้ว ไม่มีรูตรงด้านบนเพื่อสร้างความสมดุลย์

5. Helicopter เฮลิคอปเตอร์

ยานพาหนะนี้บินขึ้นได้ด้วยใบพัดที่หมุนเป็นวงกลม(เกลียว)
ขับเคลื่อนยานพาหนะด้วยแรงงานคนสี่คน
แน่นอนไม่สามารถบินได้อยู่แล้ว
แต่เป็นหลักการพื้นฐานของเฮลิคอปเตอร์ในปัจจุบัน

6. Glider เครื่องร่อน

สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้เกือบประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
ต้นแบบที่ร่างไว้ไม่มีหางเครื่องร่อน
แต่ในกลุ่มคนที่หลงใหลกับเครื่องร่อนได้เพิ่มหางเข้าไป

ในการทดลองสร้างตามแบบร่างของดาวินซี่
เพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่าเป็นความจงใจของดาวินซี่ ที่ไม่ยอมเขียนหางเครื่องร่อนไว้ในแบบร่าง

มีการทดสอบเครื่องร่อนแบบนี้ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2002(2545)และประสบความสำเร็จสามารถร่อนได้นานถึง 18 วินาที

7.Machine gun ปืนกลประกอบด้วยปืนคาบศิลาจำนวน 11 กระบอกในแต่ละชั้นวางซ้อนเป็น 3 ชั้น

เมื่อชุดแรกยิงออกไปแล้ว

ชุดที่สองก็พร้อมจะเลื่อนขึ้นมายิงต่อ
ขณะที่ชุดที่สามเริ่มเย็นตัวลงพร้อมกับการบรรจุกระสุนดินปืนอีกครั้ง

ชูอัน มีโร อี เฟร์รา จิตรกรและประติมากรชาวคาตาลัน


ค้นหา
Custom Search

ชูอัน มีโร อี เฟร์รา (คาตาลัน: Joan Miró i Ferrà) 
เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2436 เป็นจิตรกรและประติมากร
ชาวคาตาลัน (ประเทศสเปน) 
ในสกุลศิลปะลัทธิเหนือจริง (surrealism) ภาพของเขาที่แสดงความเคลื่อนไหวไปมาอย่างน่าประหลาดนั้น เขาทำขึ้นจากความเคลื่อนไหวของลายเส้นที่พันกันชุลมุนและความสว่างสดใสของสี ภาพของมีโรเป็นการแปลสิ่งมหัศจรรย์ 

ซึ่งเป็นความแท้จริงที่พบใหม่นี้ มีความเป็นอยู่อย่างเหมาะสมดีแท้ทีเดียว เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว ความแท้จริงใหม่นี้ ไม่สามารถจะจับเอาเป็นคำพูด ความคิด หรือภาพให้สมบูรณ์แบบได้เลย ศิลปินลัทธิเหนือจริงและศิลปินเอกของศิลปะนามธรรมผู้นี้ได้พัฒนามาเป็นแบบอย่างศิลปะส่วนตัวอย่างเต็มที่ กลายเป็นผลงานที่สีสันอุดมสมบูรณ์ โดยได้รับอิทธิพลมาจากคันดินสกี อาร์พ และเคล ผลงานของเขาเผยให้เห็นภาษาเชิงกวีนิพนธ์

มีโรได้รับการยอมรับว่ามีเอกลักษณ์ในการถ่ายทอดวัฒนธรรมท้องถิ่น ออกมาเป็นภาพวาดได้อย่างลงตัวและงดงามหาที่เปรียบมิได้ เป็นศิลปินยุค 1893-1983 ซึ่งถือว่าโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับรุ่นพี่อย่างปาโบล ปีกัสโซ ร่วมพิสูจน์ภาพเขียนแนวเหนือจริงที่ฉีกจากกรอบและกฎเกณฑ์เดิม ๆ ยอดศิลปินที่นักศิลปะรุ่นใหม่บอกว่า นี่แหละคือฮีโร่ในดวงใจ

ชูอัน มีโร เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2436 ที่ Passatge del Credit เมืองบาร์เซโลนา แคว้นคาเทโลเนีย ประเทศสเปน บิดาเป็นช่างทองและช่างนาฬิกาชื่อมีเกล อัดเซเรียส อี โดโลเรส เฟร์รา ดี โอโรมี (Miguel Adzeries I Dolores Ferra di Oromi) มีโรใช้ชีวิตวัยเด็กในบาร์เซโลนา แม้เขาจะมีความสนใจศิลปะอยู่บ้างแต่ก็เข้าเรียนที่วิทยาลัยธุรกิจก่อนที่จะเข้าศึกษาในสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งบาร์เซโลนา 
(The Barcelona Ecole des Beaux-Arts) และสถาบันกาลิ (Academie Gali) แต่เรียนไปได้เพียงสามปี ในปี ค.ศ. 1910 เขาล้มป่วยด้วยไข้ไทฟอยด์อย่างรุนแรง ครอบครัวของเขาจึงย้ายไปอยู่ในชนบทที่มอนโตรตช์ (Montroig) มีโรได้เริ่มวาดรูปหรือสร้างงานจิตรกรรมอย่างจริงจังที่บ้านใหม่นั้น

ในปี ค.ศ. 1918 มีโรจัดแสดงผลงานของเขาขึ้นเป็นครั้งแรกที่ดัลเมากัล (Dalmau Gal) เป็นผลงานที่ได้รับความบันดาลใจ มากจากคติพื้นบ้านผสมกับกรรมวิธีของคติโฟวิสต์ (Fauvism; Fauves) เป็นคติทางศิลปะคติหนึ่งเกิดขึ้นในกรุงปารีสเมื่อ ค.ศ. 1905 ผลงานจิตรกรรมของคตินี้นิยมใช้สีสว่าง สดใส รุนแรง ให้ความสำคัญกับอารมณ์ จินตนาการ และความงาม ศิลปินที่มีชื่อเสียงในกลุ่มนี้มีหลายคน เช่น อองรี มาตีส (Henri Matisse ศิลปินชาวฝรั่งเศส ค.ศ. 1869-1954) อองเดร เดอแรง (André Derain ศิลปินชาวฝรั่งเศส ค.ศ. 1880-1954) และดูฟี (Raoul Dufy ศิลปินชาวฝรั่งเศส ค.ศ. 1877-1953)
ในปี ค.ศ. 1919 มีโรเดินทางไปปารีส ที่นั่นเองเขาได้พบกับศิลปินรุ่นพี่เชื้อชาติเดียวกันคือปีกัสโซ ซึ่งคบหากันเรื่อยมา มีโรได้รับอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับศิลปะบาศ
กนิยม (cubism) ผสานกับคตินิยมแบบดั้งเดิม (primitivism) เมื่อมีโรเดินทางกลับไปสเปน เขาพยายามแสวงหาแนวทางการสร้างสรรค์ของตนเอง แต่ก็ยังไม่พบแนวทางของตนเองอย่างแท้จริง 

ผลงานจิตรกรรมของมีโรในช่วงนี้ยังคงอาศัยรูปทรงธรรมชาติเป็นแนว หากแต่ได้ตัดรูปทรงที่ไม่ต้องการบางส่วนออกไปและเพิ่มเติมสีสัน
ที่แปลกใหม่ตามความรู้สึกของเขาลงไป

ในปี ค.ศ. 1920 มีโรเดินทางไปกรุงปารีสอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้เขาเข้าร่วมกลุ่มกับศิลปินหัวก้าวหน้า 
(อาวองการ์ด) ในขณะนั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ศิลปะคติดาดา (dadaism; dada) กำลังได้รับความสนใจจากศิลปินรุ่นใหม่ ต่อมาลัทธินี้ได้สลายตัวไป เกิดลัทธิเหนือจริง 

(surrealism) ผู้ก่อตั้งลัทธินี้คือ อองเดร เบรอตง (André Breton กวีชาวฝรั่งเศส ค.ศ. 1896-1966) เบรอตงกล่าวว่า ลัทธิเหนือจริง คือสิ่งที่ดำเนินไปเองตามจิตที่บริสุทธิ์ อาจแสดงออกด้วยถ้อยคำและวิธีการ
อื่น ๆ โดยปราศจากการควบคุมตามกฎเกณฑ์เก่า ๆ ศิลปินด้านทัศนศิลป์ ในลัทธินี้มีหลายคน เช่น ซัลบาดอร์ ดาลี ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon จิตรกรชาวอังกฤษ เกิด ค.ศ. 1910) มักซ์ แอนสท์ (Max Ernst จิตรกรชาวเยอรมัน ค.ศ. 1891-1976) โดยกลุ่มศิลปินหัวก้าวหน้าซึ่งมีทั้ง นักคิด นักเขียน กวี และจิตรกร มีโรสนใจแนวคิดของลัทธิที่เกิดขึ้นใหม่นี้มากเมื่อเขาได้พบกับเบรอตงในกรุงปารีส

ในปี ค.ศ. 1923 เขากระตือรือร้นที่จะสร้างผลงานตามแนวคิดดังกล่าว มีโรจึงได้เข้าร่วมกับกลุ่มดังกล่าว แนวคิดของลัทธิเหนือจริงมีอิทธิพลต่อเขามากถึงกับประกาศว่า เขาจะฆ่าจิตรกรรมแบบเก่าที่เคยทำมาคือสัจนิยมและบาศกนิยม เพื่อหันมาสร้างสรรค์ผลงานแนวใหม่ตามความคิดของเขา เพื่อสะท้อนความคิดฝันและแรงปรารถนาที่ออกมาจากจิตใต้สำนึกอย่างฉับพลันและเป็นอิสระ ผลงานของมีโรสร้างความตื่นเต้นให้กับกลุ่มเซอร์เรียลลิสม์มาก

ผลงานจิตรกรรมของมีโรที่สร้างขึ้นหลังคริสต์ทศวรรษ 1920 เขาตัดทอนรูปทรงธรรมชาติออกไป เหลือเพียงรูปสัญลักษณ์ที่อาจแทนค่าด้วยรูปทรงเรขาคณิตหรือสีที่เรียบ ๆ โดยนำมาจัดวางเป็นองค์ประกอบอย่างง่าย ๆ ดังนั้นผลงานจิตรกรรมของมีโรจึงมีลักษณะเฉพาะตนที่ต่างไปจากจิตรกรลัทธิเหนือจริงคนอื่น ๆ ที่ยังอาศัยรูปทรงของธรรมชาติ
เป็นสื่อ

อย่างไรก็ตาม ผลงานศิลปะของมีโรโดยเฉพาะผลงานจิตรกรรมได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่าสูงและมีความโดดเด่น เขาจึงเป็นศิลปินที่ได้รับเกียรติจากวงการศิลปะของโลกอย่างกว้างขวางคนหนึ่ง ในช่วงต้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีโรได้รับเชิญให้เดินทางไปเยือนและแสดงผลงานในประเทศต่าง ๆ 

ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง และได้สร้างผลงานศิลปะให้กับสถานที่สำคัญ ๆ ของโลกหลายแห่ง ในปี ค.ศ. 1968 เมืองบาร์เซโลนาได้จัดนิทรรศการอย่างยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า "ปีแห่งมีโร" เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา และได้สร้างพิพิธภัณฑ์มีโรเพื่อเก็บผลงานจำนวน 40 ชิ้นของมีโรไว้เป็นสมบัติของชาติ
ชูอัน มีโรเป็นศิลปินชาวสเปนคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมาก เขามีอายุยืนถึง 90 ปี ในปี พ.ศ. 2526 สุขภาพของเขาทรุดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ที่ปัลมาเดมายอร์กา (Palma de Mallorca) และร่างที่ไร้วิญญาณของเขาได้ถูกเผาที่บาร์เซโลนาแผ่นดินเกิดของเขานั่นเอง

ข้อมูลจากวิกิพีเดีย
เรียบเรียงโดย menmen

จิตรกรผู้เขียนภาพผู้หญิงได้งดงาม แต่ชีวิตรักกลับอาภัพ


Gustav Klimt
จิตรกรชาวออสเตรียผู้เขียนภาพผู้หญิงได้งดงาม แต่ชีวิตรักกลับอาภัพ 
Gustav Klimt (กุสตาฟ คลิมท์)
เกิดที่กรุง Wien (วีน – เวียนนา)
ประเทศออสเตรีย เป็นลูกชายคนโตของช่างทอง ที่มีส่วนในการปลูกฝังนิสัยทางด้านศิลปะให้แก่เขามาตั้งแต่เด็ก งานของคลิมท์ส่วนใหญ่มีสีทองอยู่ในหลายภาพและเขาใช้มันได้อย่างกลมกลืน
คลิมท์ได้รับการศึกษาเบื้องต้นจากโรงเรียนใกล้บ้าน ต่อมาได้เข้าเรียนในโรงเรียนประยุกต์ศิลป์ ซึ่งเป็นสถาบันประยุกต์ศิลป์ทันสมัยที่สุดของออสเตรีย คลิมท์เป็นมัณฑนากรและจิตรกรที่มีความคิดก้าวหน้าที่ชอบทำกิจกรรมเพื่อวงการศิลปะด้วย

คลิมท์มักจะเขียนภาพแนวเหมือนจริง เขาสามารถเขียนภาพคนจากภาพถ่ายได้เหมือนจริง และดูเป็นธรรมชาติราวกับเขียนมาจากคนต้นแบบ นอกจากนี้สีทองยังเป็นสีที่เขาชอบใช้และดูจะมีความสำคัญในผลงานของเขาไม่ใช่น้อย

สิ่งที่น่าสนใจในผลงาน
ของกุสตาฟ คลิมท์ ซึ่งกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดผู้คนให้ชื่นชมผลงานของเขามากที่สุดก็คือการเขียนรูปทรงของคนและลวดลายให้มีความผสานกลมกลืนกัน
จนดูราวกับว่า ทั้งสองสิ่งนั้นหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียว...

Der Kuss (แดร์ คุส - จูบ) เป็นผลงานเอกที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาเป็นอย่างมาก ภาพนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกรักของชายหนุ่มหญิงสาวที่มีต่อกันอย่างดูดดื่ม คนทั้งสองคุกเข่าอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีเรียงรายกันอย่างหนาแน่น เป็นภาพที่อ่อนหวานนุ่มนวลมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก

นอกจากภาพบุคคลที่เขาชอบรังสรรค์มันขึ้นมาแล้ว คลิมท์ยังชอบเขียนทิวทัศน์อีกด้วย ทานตะวันดูจะเป็นไม้ดอกที่เขาชื่นชอบจะเขียนมาก การเขียนภาพคนและภาพทิวทัศน์ของคลิมท์นั้นค่อนข่างจะแตกต่างกัน ลวดลายที่แสดงความรู้สึกละเอียดอ่อนจะนำมาใช้กับการเขียนภาพคน ในขณะที่เขาจะใช้ฝีแปรงที่บ่งบอกถึงความเด็ดเดี่ยวและเป็นอิสระกับงานทิวทัศน์

กุสตาฟ คลิมท์ ค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว พูดน้อยกับสาธารณชน ดังนั้นผลงานของเขาจึงกลายเป็นตัวสื่อสารแทนเขาเสมอแม้ว่าคลิมต์จะได้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นเยี่ยมไว้ให้ประเทศออสเตรียและโลกไว้ไม่น้อยก็ตาม แต่ช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่เขาก็ไม่ได้รับเกียรติและการยอมรับเท่าที่ควร เขาถูกปฏิเสธจากรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของออสเตรียถึง 4 ครั้ง ก่อนที่จะได้เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ ของสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งวีน

สุดท้ายชีวิตของคลิมต์ก็เช่นเดียวกับศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต ที่ต้องจบชีวิตลงด้วยยากจน โดดเดี่ยว เขาล้มป่วยและต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในแฟลตในกรุงวีน ตั้งแต่วันที่ 11 มกราคมจนถึงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918

รายการบล็อกของฉัน