ลายอาหรับ หรือ ลายอะราเบสก์
(อังกฤษ: Arabesque)
คือลวดลายตกแต่งที่มีลักษณะเป็นลวดลายเรขาคณิต หรือลวดลายวิจิตรที่ทำซ้ำซ้อนเรียงกันเป็นแนวที่มักจะเลียนแบบพรรณไม้หรือสัตว์ “ลายอาหรับ” หรือ “Arabesques” ตามชื่อแล้วคือลักษณะลวดลายของศิลปะอิสลามที่พบในการตกแต่งผนังมัสยิด ลวดลายที่เป็นทรงเรขาคณิตเป็นลวดลายที่เลือกใช้จากพื้นฐานทัศนของอิสลามที่มีต่อโลก สำหรับชาวมุสลิมแล้ว ลวดลายทรงการตกแต่งดังว่าเป็นลวดลายที่ต่อเนื่องเลยไปจากโลกที่เราอยู่ หรือเป็นลวดลายที่เป็นสัญลักษณ์ของความไม่สิ้นสุด ฉะนั้นศิลปินอาหรับจึงสื่อความหมายของจิตวิญญาณโดยไม่ใช้ไอคอนเช่นที่ใช้ในศิลปะของคริสต์ศาสนา
ถ้ามีลวดลายที่ผิดไปก็อาจจะเป็นการจงใจทำของศิลปินเพื่อที่จะแสดงถึงความถ่อมตัวของศิลปินผู้ที่มีความเชื่อว่าอัลลอฮ์เท่านั้นที่จะทรงเป็นผู้ที่สามารถสร้างความสมบูรณ์แบบได้ แต่สมมุติฐานนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียง
กันอยู่
ลวดลายเรขาคณิตอาหรับภายใต้โดมของที่เก็บศพฮาเฟซที่ชิราซ
ประวัติ
งานศิลปะเชิงเรขาคณิตในรูปแบบเชิงอาหรับไม่ได้ใช้กันโดยทั่วไปในตะวันออกกลาง หรือ บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนมาจนกระทั่งถึงสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของยุคทองของอิสลาม ในช่วงนั้นหนังสือคณิตศาสตร์ของกรีกโบราณและอินเดียได้รับการแปลเป็นภาษาอาหรับที่ “หอสมุดแห่งปัญญา” (بيت الحكمة - House of Wisdom) หรือ “บัยต อัล หิกมะห์” ในแบกแดดที่เป็นศูนย์กลางของการศึกษาการปรัชญาของโลกมุสลิม เช่นเดียวกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในยุโรปที่ตามมา ความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, วรรณกรรม และ ประวัติศาสตร์เผยแพร่เข้าไปในสังคมของมุสลิมอย่างแพร่หลาย
งานของนักปราชย์โบราณเช่นเพลโต, ยูคลิด, อารยภาตะ (Aryabhata) และ พราหมณคุปตะ (Brahmagupta) ได้รับการศึกษากันอย่างแพร่หลายในบรรดาผู้มีการศึกษา และ มีการทำการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่เกิดขึ้นจาก ความต้องการของศาสนาอิสลามในการคำนวณกิบลัต และ เวลาประกอบกิจละหมาด และ รอมะฎอน ปรัชญาของเพลโตที่ เกี่ยวกับการมีอยู่ของความเป็นจริงที่แยกออกไปจากสิ่งอื่นที่เป็นความเป็น จริงอันสมบูรณ์แบบทั้งในทางรูปทรง และ ลักษณะ, ทฤษฎีเรขาคณิตของยูคลิดที่ขยายความโดยอัล-อับบาส อิบุน ซาอิด อัล-ยาวารี (العباس بن سعيد الجوهري - Al-Abbās ibn Said al-Jawharī) (ราว ค.ศ. 800–ค.ศ. 860) ใน “ความเห็นเกี่ยวกับทฤษฎีของยูคลิด”, ตรีโกณมิติโดยอารยภาตะและพราหมณคุปตะที่ขยายความโดยอัลคอวาริซมีย์ (محمد بن موسی خوارزمی - Al-Khwārizmī) (ค.ศ. 780-ค.ศ. 850) และการพัฒนาทฤษฎีเรขาคณิตทรงกลม[6] โดย อบู อัล-วาฟะ บูซะยานี (ابوالوفا بوزجانی - Abū al-Wafā' Būzjānī) (ราว ค.ศ. 940–ค.ศ. 998)
และทฤษฎีตรีโกณมิติทรงกลมโดย อัล-ไจยานี (Al-Jayyani) (ราว ค.ศ. 989–ค.ศ. 998)ในการกำหนดกิบลัต และ เวลาประกอบกิจละหมาด และ รอมะฎอน[6] ต่างก็เป็นพื้นฐานที่เป็นแรงผลักดันในการสร้าง “ลวดลายอาหรับ” ด้วยกันทั้งสิ้น
ลักษณะลวดลายและสัญลักษณ์
ลวดลายอาหรับประกอบด้วยลวดลายเรขาคณิตดที่ต่อเนื่องติดกันไปที่บางครั้งก็จะสลับด้วยอักษรวิจิตร ริชาร์ด เอ็ททิงเฮาเซนบรรยายลวดลายอาหรับว่าเป็น “ลวดลายพืชพรรณที่ประกอบด้วยลายใบปาล์มครึ่ง...และเต็ม ที่เป็นลวดลายที่ต่อเนื่องติดต่อกันไปอันไม่จบไม่สิ้น...ที่แต่ละใบงอกออกมาจากปลายใบก่อนหน้านั้น” สำหรับผู้ที่ถือปรัชญาของอิสลามลวดลายอาหรับคือสัญลักษณ์ของสหศรัทธาและวัฒนธรรมของหลักปรัชญาของศาสนาอิสลาม
องค์ประกอบสองประการ
“ลวดลายอาหรับ” มีองค์ประกอบสององค์ องค์ประกอบแรกคือหลักการที่ใช้ในการรักษาความเป็นระบบของโลก หลักการนี้รวมทั้งหลักการพื้นฐานที่ทำให้วัตถุมีโครงสร้างที่ดีและมั่นคง นอกจากนั้นก็เพื่อความสวยงาม องค์ประกอบแรกลายเรขาคณิตแต่ละลายที่ทำซ้ำก็จะมีความหมายเป็นสัญลักษณ์ในตัว เช่นสี่เหลี่ยมที่มีด้านเท่ากันสี่ด้านเป็นสัญลักษณ์ของธาตุหลักสี่อย่างที่มีความสำคัญต่อธรรมชาติเท่าๆ กัน: ดิน, น้ำ, ลม และ ไฟ ถ้าขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปโลกที่เราเห็นอยู่ที่ใช้สัญลักษณ์เป็นวงกลมภายใน สี่เหลี่ยมก็จะสลายตัวและไม่อาจจะดำรงตัวอยู่ได้ องค์ประกอบที่สองมีรากฐานมาจากรูปทรงธรรมชาติของพืชพรรณต่างๆ องค์ประกอบนี้คือคุณสมบัติของความเป็นสตรีของการเป็นผู้ให้กำเนิด นอกจากนั้นจากการสำรวจลวดลายอาหรับแล้วบางครั้งก็อาจจะกล่าวได้ว่านอกจาก องค์ประกอบสองประการดังกล่าวแล้วก็ยังอาจจะมีองค์ประกอบที่สามซึ่งก็คืออักษรวิจิตรอาหรับ
อักษรวิจิตร
ตัวอย่างของอักษรวิจิตรอาหรับ
บทเขียนจากอัลกุรอานที่เดลลี
แทนที่จะแสวงหาสิ่งที่นำมาซึ่ง “ความเป็นจริงอันแท้จริง” (True Reality หรือ ความเป็นจริงในโลกทางจิตวิญญาณ) สำหรับมุสลิมแล้วอักษรวิจิตรอาหรับคือ การแสดงออกที่มองเห็นได้ของศิลปะที่เหนือศิลปะใด หรือศิลปะของคำอ่าน (หรือการเผยแพร่ความคิดและประวัติศาสตร์) ในศาสนาอิสลามเอกสารชิ้นที่สำคัญที่สุดที่ใช้เล่าขานกันคืออัลกุรอาน.สุภาษิตและบทอ่านจากจากอัลกุรอานจะเห็นได้ในศิลปะอาหรับ
องค์ประกอบสามอย่างที่มารวมเข้าด้วยกันเป็น “ลวดลายอาหรับ” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขององค์ประกอบสามอย่างที่ แตกต่างกันซึ่งเป็นรากฐานของศาสนาอิสลาม
บทบาท
ลวดลายอาหรับอาจจะเป็นได้ทั้งศิลปะ และ วิทยาศาสตร์ งานศิลปะในขณะเดียวกันก็เป็นงานทางคณิตศาสตร์ที่ลงตัวที่ดูแล้วมีความงดงาม และเป็นสัญลักษณ์ ความความเป็นสองภาคของลวดลายอาหรับทำให้แบ่งได้อีกเป็นศิลปะทางศาสนา และ ศิลปะของสาธารณชน แต่สำหรับชาวมุสลิมบางท่านสองสิ่งนี้ไม่มีความแตกต่างกัน เพราะศิลปะทุกรูปทุกแบบ, โลกที่เราอยู่, คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่างก็เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าฉะนั้นจึง เป็นสิ่งที่สะท้อนสิ่งเดียวกัน - คือพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงแสดงออกมาจากสิ่งที่ทรงสร้าง หรืออีกแนวคิดหนึ่งก็อาจจะกล่าวได้ว่ามนุษย์เราอาจจะเขียนรูปทรงเรขาคณิตที่ ประกอบขึ้นเป็นลวดลายอาหรับขึ้น แต่รูปทรงเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่พระ เจ้าทรงสร้างขึ้น
ความมีแบบแผนและความเป็นเอกภาพ
งานลวดลายอาหรับที่สร้างในบริเวณต่างๆ จะมีความคล้ายคลึงกัน อันที่จริงแล้วความคล้ายคลึงกันดังว่าเห็นได้อย่างชัดเจนจนกระทั่งผู้เชี่ยว ชาญแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นลวดลายอาหรับประเภทใดหรือสมัยใด ซึ่งมีสาเหตุมาจากคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการสร้างงานดังกล่าวเป็น สิ่งที่เป็นสากล
ฉะนั้นสำหรับมุสลิมโดยทั่วไปงานศิลปะที่ดีที่สุดสามารถสร้างขึ้นโดยมนุษย์เพื่อใช้ในมัสยิดคือ งานศิลปะที่แสดงความมีแบบแผนและความเป็นเอกภาพเป็นพื้นฐาน ความมีแบบแผนและความเป็นเอกภาพของโลกที่เราอยู่เชื่อกันว่าเป็นเพียงเงา สะท้อนของโลกของจิตวิญญาณซึ่งตามความเชื่อของมุสลิมแล้วคือสถานที่ที่ความ เป็นจริงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เท่านั้น ฉะนั้นการใช้รูปทรงเรขาคณิตจึงเป็นการแสดงออกความเป็นจริงอันสมบูรณ์เพราะ สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างถูกบดบังด้วยบาปของมนุษย์
ข้อมูลอ้างอิงจาก Wikipedia
เรียบเรียงใหม่โดย Manman
(อังกฤษ: Arabesque)
คือลวดลายตกแต่งที่มีลักษณะเป็นลวดลายเรขาคณิต หรือลวดลายวิจิตรที่ทำซ้ำซ้อนเรียงกันเป็นแนวที่มักจะเลียนแบบพรรณไม้หรือสัตว์ “ลายอาหรับ” หรือ “Arabesques” ตามชื่อแล้วคือลักษณะลวดลายของศิลปะอิสลามที่พบในการตกแต่งผนังมัสยิด ลวดลายที่เป็นทรงเรขาคณิตเป็นลวดลายที่เลือกใช้จากพื้นฐานทัศนของอิสลามที่มีต่อโลก สำหรับชาวมุสลิมแล้ว ลวดลายทรงการตกแต่งดังว่าเป็นลวดลายที่ต่อเนื่องเลยไปจากโลกที่เราอยู่ หรือเป็นลวดลายที่เป็นสัญลักษณ์ของความไม่สิ้นสุด ฉะนั้นศิลปินอาหรับจึงสื่อความหมายของจิตวิญญาณโดยไม่ใช้ไอคอนเช่นที่ใช้ในศิลปะของคริสต์ศาสนา
ถ้ามีลวดลายที่ผิดไปก็อาจจะเป็นการจงใจทำของศิลปินเพื่อที่จะแสดงถึงความถ่อมตัวของศิลปินผู้ที่มีความเชื่อว่าอัลลอฮ์เท่านั้นที่จะทรงเป็นผู้ที่สามารถสร้างความสมบูรณ์แบบได้ แต่สมมุติฐานนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียง
กันอยู่
ลวดลายเรขาคณิตอาหรับภายใต้โดมของที่เก็บศพฮาเฟซที่ชิราซ
ประวัติ
งานศิลปะเชิงเรขาคณิตในรูปแบบเชิงอาหรับไม่ได้ใช้กันโดยทั่วไปในตะวันออกกลาง หรือ บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนมาจนกระทั่งถึงสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของยุคทองของอิสลาม ในช่วงนั้นหนังสือคณิตศาสตร์ของกรีกโบราณและอินเดียได้รับการแปลเป็นภาษาอาหรับที่ “หอสมุดแห่งปัญญา” (بيت الحكمة - House of Wisdom) หรือ “บัยต อัล หิกมะห์” ในแบกแดดที่เป็นศูนย์กลางของการศึกษาการปรัชญาของโลกมุสลิม เช่นเดียวกับยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในยุโรปที่ตามมา ความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, วรรณกรรม และ ประวัติศาสตร์เผยแพร่เข้าไปในสังคมของมุสลิมอย่างแพร่หลาย
งานของนักปราชย์โบราณเช่นเพลโต, ยูคลิด, อารยภาตะ (Aryabhata) และ พราหมณคุปตะ (Brahmagupta) ได้รับการศึกษากันอย่างแพร่หลายในบรรดาผู้มีการศึกษา และ มีการทำการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาคณิตศาสตร์ที่เกิดขึ้นจาก ความต้องการของศาสนาอิสลามในการคำนวณกิบลัต และ เวลาประกอบกิจละหมาด และ รอมะฎอน ปรัชญาของเพลโตที่ เกี่ยวกับการมีอยู่ของความเป็นจริงที่แยกออกไปจากสิ่งอื่นที่เป็นความเป็น จริงอันสมบูรณ์แบบทั้งในทางรูปทรง และ ลักษณะ, ทฤษฎีเรขาคณิตของยูคลิดที่ขยายความโดยอัล-อับบาส อิบุน ซาอิด อัล-ยาวารี (العباس بن سعيد الجوهري - Al-Abbās ibn Said al-Jawharī) (ราว ค.ศ. 800–ค.ศ. 860) ใน “ความเห็นเกี่ยวกับทฤษฎีของยูคลิด”, ตรีโกณมิติโดยอารยภาตะและพราหมณคุปตะที่ขยายความโดยอัลคอวาริซมีย์ (محمد بن موسی خوارزمی - Al-Khwārizmī) (ค.ศ. 780-ค.ศ. 850) และการพัฒนาทฤษฎีเรขาคณิตทรงกลม[6] โดย อบู อัล-วาฟะ บูซะยานี (ابوالوفا بوزجانی - Abū al-Wafā' Būzjānī) (ราว ค.ศ. 940–ค.ศ. 998)
และทฤษฎีตรีโกณมิติทรงกลมโดย อัล-ไจยานี (Al-Jayyani) (ราว ค.ศ. 989–ค.ศ. 998)ในการกำหนดกิบลัต และ เวลาประกอบกิจละหมาด และ รอมะฎอน[6] ต่างก็เป็นพื้นฐานที่เป็นแรงผลักดันในการสร้าง “ลวดลายอาหรับ” ด้วยกันทั้งสิ้น
ลักษณะลวดลายและสัญลักษณ์
ลวดลายอาหรับประกอบด้วยลวดลายเรขาคณิตดที่ต่อเนื่องติดกันไปที่บางครั้งก็จะสลับด้วยอักษรวิจิตร ริชาร์ด เอ็ททิงเฮาเซนบรรยายลวดลายอาหรับว่าเป็น “ลวดลายพืชพรรณที่ประกอบด้วยลายใบปาล์มครึ่ง...และเต็ม ที่เป็นลวดลายที่ต่อเนื่องติดต่อกันไปอันไม่จบไม่สิ้น...ที่แต่ละใบงอกออกมาจากปลายใบก่อนหน้านั้น” สำหรับผู้ที่ถือปรัชญาของอิสลามลวดลายอาหรับคือสัญลักษณ์ของสหศรัทธาและวัฒนธรรมของหลักปรัชญาของศาสนาอิสลาม
องค์ประกอบสองประการ
“ลวดลายอาหรับ” มีองค์ประกอบสององค์ องค์ประกอบแรกคือหลักการที่ใช้ในการรักษาความเป็นระบบของโลก หลักการนี้รวมทั้งหลักการพื้นฐานที่ทำให้วัตถุมีโครงสร้างที่ดีและมั่นคง นอกจากนั้นก็เพื่อความสวยงาม องค์ประกอบแรกลายเรขาคณิตแต่ละลายที่ทำซ้ำก็จะมีความหมายเป็นสัญลักษณ์ในตัว เช่นสี่เหลี่ยมที่มีด้านเท่ากันสี่ด้านเป็นสัญลักษณ์ของธาตุหลักสี่อย่างที่มีความสำคัญต่อธรรมชาติเท่าๆ กัน: ดิน, น้ำ, ลม และ ไฟ ถ้าขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปโลกที่เราเห็นอยู่ที่ใช้สัญลักษณ์เป็นวงกลมภายใน สี่เหลี่ยมก็จะสลายตัวและไม่อาจจะดำรงตัวอยู่ได้ องค์ประกอบที่สองมีรากฐานมาจากรูปทรงธรรมชาติของพืชพรรณต่างๆ องค์ประกอบนี้คือคุณสมบัติของความเป็นสตรีของการเป็นผู้ให้กำเนิด นอกจากนั้นจากการสำรวจลวดลายอาหรับแล้วบางครั้งก็อาจจะกล่าวได้ว่านอกจาก องค์ประกอบสองประการดังกล่าวแล้วก็ยังอาจจะมีองค์ประกอบที่สามซึ่งก็คืออักษรวิจิตรอาหรับ
อักษรวิจิตร
ตัวอย่างของอักษรวิจิตรอาหรับ
บทเขียนจากอัลกุรอานที่เดลลี
แทนที่จะแสวงหาสิ่งที่นำมาซึ่ง “ความเป็นจริงอันแท้จริง” (True Reality หรือ ความเป็นจริงในโลกทางจิตวิญญาณ) สำหรับมุสลิมแล้วอักษรวิจิตรอาหรับคือ การแสดงออกที่มองเห็นได้ของศิลปะที่เหนือศิลปะใด หรือศิลปะของคำอ่าน (หรือการเผยแพร่ความคิดและประวัติศาสตร์) ในศาสนาอิสลามเอกสารชิ้นที่สำคัญที่สุดที่ใช้เล่าขานกันคืออัลกุรอาน.สุภาษิตและบทอ่านจากจากอัลกุรอานจะเห็นได้ในศิลปะอาหรับ
องค์ประกอบสามอย่างที่มารวมเข้าด้วยกันเป็น “ลวดลายอาหรับ” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขององค์ประกอบสามอย่างที่ แตกต่างกันซึ่งเป็นรากฐานของศาสนาอิสลาม
บทบาท
ลวดลายอาหรับอาจจะเป็นได้ทั้งศิลปะ และ วิทยาศาสตร์ งานศิลปะในขณะเดียวกันก็เป็นงานทางคณิตศาสตร์ที่ลงตัวที่ดูแล้วมีความงดงาม และเป็นสัญลักษณ์ ความความเป็นสองภาคของลวดลายอาหรับทำให้แบ่งได้อีกเป็นศิลปะทางศาสนา และ ศิลปะของสาธารณชน แต่สำหรับชาวมุสลิมบางท่านสองสิ่งนี้ไม่มีความแตกต่างกัน เพราะศิลปะทุกรูปทุกแบบ, โลกที่เราอยู่, คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ต่างก็เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้าฉะนั้นจึง เป็นสิ่งที่สะท้อนสิ่งเดียวกัน - คือพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงแสดงออกมาจากสิ่งที่ทรงสร้าง หรืออีกแนวคิดหนึ่งก็อาจจะกล่าวได้ว่ามนุษย์เราอาจจะเขียนรูปทรงเรขาคณิตที่ ประกอบขึ้นเป็นลวดลายอาหรับขึ้น แต่รูปทรงเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในการเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่พระ เจ้าทรงสร้างขึ้น
ความมีแบบแผนและความเป็นเอกภาพ
งานลวดลายอาหรับที่สร้างในบริเวณต่างๆ จะมีความคล้ายคลึงกัน อันที่จริงแล้วความคล้ายคลึงกันดังว่าเห็นได้อย่างชัดเจนจนกระทั่งผู้เชี่ยว ชาญแทบจะแยกไม่ออกว่าเป็นลวดลายอาหรับประเภทใดหรือสมัยใด ซึ่งมีสาเหตุมาจากคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการสร้างงานดังกล่าวเป็น สิ่งที่เป็นสากล
ฉะนั้นสำหรับมุสลิมโดยทั่วไปงานศิลปะที่ดีที่สุดสามารถสร้างขึ้นโดยมนุษย์เพื่อใช้ในมัสยิดคือ งานศิลปะที่แสดงความมีแบบแผนและความเป็นเอกภาพเป็นพื้นฐาน ความมีแบบแผนและความเป็นเอกภาพของโลกที่เราอยู่เชื่อกันว่าเป็นเพียงเงา สะท้อนของโลกของจิตวิญญาณซึ่งตามความเชื่อของมุสลิมแล้วคือสถานที่ที่ความ เป็นจริงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เท่านั้น ฉะนั้นการใช้รูปทรงเรขาคณิตจึงเป็นการแสดงออกความเป็นจริงอันสมบูรณ์เพราะ สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างถูกบดบังด้วยบาปของมนุษย์
ข้อมูลอ้างอิงจาก Wikipedia
เรียบเรียงใหม่โดย Manman