ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

เรื่องของ Van Gogh 

เรื่องของ Van Gogh 
        Post-Impressionist คือเป็นกลุ่มที่นิยมเขียนภาพด้วยการใช้สีสดใสรุนแรงและเริ่มถอยห่างจากความเหมือนจริงในธรรมชาติออกมา
เขาเป็นศิลปินที่นักวิจารณ์ศิลปะจัดให้อยู่ในกลุ่ม
แต่แปลเพิ่มเติมว่าเป็น “ความประทับใจฉับพลัน”  
เพราะเมื่อเวลาศิลปินกลุ่มนี้ โดยเฉพาะ Van Gogh พบเห็นสิ่งใดที่นำมาเป็นวัตถุดิบในการวาดภาพแล้ว เขาจะทุ่มเทเขียนมันอย่างฉับพลัน รวดเร็วและไม่ยอมหยุดพักจนกว่าภาพเขียนจะเสร็จ
   
ศิลปินกลุ่มนี้จึงมือไว เขียนภาพไว ซึ่งวิธีการเขียนภาพไวของพวกเขานี้ สร้างลักษณะพิเศษเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะตัวได้หลายอย่าง เช่น

1. ศิลปินกลุ่มนี้ เชื่อตามทฤษฏีของท่านเซอร์ไอแซค นิวตัน ที่ว่าด้วยเรื่องสีในแสง คงจำกันได้ตอนเรียนชั้นมัธยมที่มีการทดลองเอาแท่งแก้วปริซึมไปขวางลำแสงอาทิตย์ แสงที่ผ่านแท่งแก้วจะสะท้อนสีออกมาถึง 7 สี ด้วยกันเป็นการพิสูจน์ว่าในอากาศที่เขามองไม่เห็นว่ามีสีอะไรเลย กลับมีสีซ่อนอยู่ถึง 7 สี ด้วยกัน   ศิลปินกลุ่มนี้จึงเชื่อว่า ในแสงพระอาทิตย์จึงเป็นบ่อเกิดของสีสันต่างๆ ยิ่งแสงจัดจ้ามาก สียิ่งรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น ศิลปินกลุ่มนี้จึงมักนิยมไปเขียนภาพในที่ที่มีแสงแดดจัดเสมอ

2. เมื่อเชื่อเช่นนี้แล้ว ศิลปินมีความจำเป็นต้องเขียนภาพให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อแสงเปลี่ยน สีจะเปลี่ยนตามไปด้วย ดังนั้นการเขียนภาพแบบฉับพลันจึงเกิดขึ้น ศิลปินจะไม่มีเวลามากที่จะเขียนภาพอย่างนุ่มนวล คอยใช้พู่กันเกลี่ยสีให้กลมกลืนกันเหมือนอย่างยุค Realistic ต่อไปอีกแล้ว
 
3. เมื่อศิลปินต้องเขียนภาพไวเช่นนี้ ศิลปินจึงต้องเขียนภาพโดยใช้สีหนาเตอะ โป๊ะมันเข้าไป บางทีไม่ทันใจ ต้องเอาด้ามพู่กันช่วย หนักเข้าใช้เกรียงผสมสีมาเขียนภาพก็มี เมื่อเป็นเช่นนี้ผลลัพธ์ที่ได้จะเกิดเอกลักษณ์ขึ้นโดยธรรมชาติ คือฝีแปรงหรือทีพู่กัน ที่แสดงให้เห็นร่องรอยและทิศทางของการเขียนภาพของศิลปิน
 
ในบรรดารอยฝีแปรงของศิลปินกลุ่มนี้ รอยฝีแปรงของ Van Gogh นี่แหละที่หนักข้อรุนแรงที่สุด เพราะแค่มองรอยฝีแปรงในภาพของเขาแล้ว สามารถนำเราให้พุ่งเข้าสู่บึ้งลึกของหัวใจเขาได้เลยทีเดียว
 
ตอนนี้คงจะคิดวิเคราะห์กันได้ว่า Van Gogh เป็นศิลปินที่มีอะไรๆขัดแย้งกันอยู่สองด้านเสมอ อาทิเช่น แม้ว่าเขาจะเขียนภาพด้วยสีสันสดใสอย่างไรก็ตาม จิตใจของเขามิได้สุขสดใสไปด้วย
 
ในใจของเขาที่ลากพู่กันให้วิ่งไปนั้น มันถูกลากให้ตวัด วนไปมาด้วยจิตใจที่ที่พุ่งพล่านเร้าร้อน ด้วยความผิดหวังในชีวิต ด้วยความขมขื่น เจ็บปวด จากประสบการณ์อยุติธรรมในชีวิต
อาจกล่าวได้ว่า Van Gogh ไม่ได้ใช้สีเขียนภาพ แต่ใช้เลือดจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจเขียนระบายมันออกมา ....
   
หลายคนประณามว่าเขาเป็นบ้า! ใช่เขาบ้าหลายอย่าง บ้าเขียนรูป บ้าทำงาน บ้าหวังว่าสักวันสิ่งที่เขาทำจะประสบความสำเร็จ เพราะเขารู้ว่าการเขียนภาพเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่เขาจะทำได้
   
ทุกเช้าผู้คนทีเมือง อาร์เล ในหมู่บ้านชนบทเล็กๆในฝรั่งเศสตอนใต้ ต้องเห็นเขาเดินเกือบเหมือนวิ่งหอบขาหยั่ง เฟรมผ้าใบสองสามเฟรมและกล่องใส่สี ดูรุงรังเหมือนไอ้บ้าหอบฟางเพื่อออกไปเขียนภาพทิวทัศน์ ก่อนที่แสงแดดยามเช้าจะหายไป
 
บางครั้งเขาแวะยืนดูต้นไม้อย่างหมกมุ่น พินิจ เนิ่นนาน อย่างพิศวงเพื่อดูว่ามันตั้งลำตัวตั้งตรงได้อย่างไร และรากของมันหยั่งลงดินลึกขนาดไหน เพราะเขาเคยเขียนจดหมายไปถามน้องชายที่รัก ธีโอ ว่า มันช่างน่าขันและน่าประหลาดใจที่สุด ที่เขาไม่สามารถเขียนต้นไม้ให้ยืนอยู่บนพื้นดินได้ เขาโอดครวญว่า ถึงแม้เขาจะโป๊ะสีลงไปที่รากมากเท่าใดก็ตาม ต้นไม้ที่เขาเขียนยังแทบจะล้มครืนเพียงลมเบาๆพัดผ่าน            
ครั้งหนึ่งที่เขายืนเหม่อมองความเป็นไปของธรรมชาติของต้นไม้อยู่ ชาวนาคนหนึ่งเดินผ่านมา หยุดมอง แล้วเอ่ยว่า เขาเป็นบ้าไปแล้วที่มายืนจ้องต้นไม้อยู่ได้เป็นวันวันอย่างนี้โดยไม่ทำอะไรเลย    

       Van Gogh หันไปถามด้วยกิริยาสุภาพว่า

       “คุณล่ะทำงานอะไร”    

       ชาวนาตอบว่า “ฉันเป็นชาวนา”            

        Van Gogh เอ่ย “ทำไมคุณปลูกต้นไม้หรือถอนต้นไม้...คุณบ้าหรือเปล่า?            

        ชาวนาอ้าปากค้าง จ้องหน้า Van Gogh เหมือนเห็นคนบ้ามายืนเบื้องหน้า แล้วตอบว่า            

       “เปล่า มันเป็นงานของผม”  

       Van Gogh ยักไหล่แล้วตอบว่า

       “ครับ ผมมองต้นไม้ ผมก็กำลังทำงานของผม”
Van Gogh เป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกและสุภาพมาก โดยเฉพาะกับสุภาพสตรี  เมื่อโกแกงมาเยี่ยมตามคำเชิญ ก็บ่นว่า Van Gogh ทำงานหนักไป ควรไปพักผ่อนเสียบ้าง จึงพาเขาไปเที่ยวบาร์เล็กๆแห่งหนึ่ง  มีผู้หญิงบาร์คนหนึ่งมานั่งคุยกับ Van Gogh แล้วชมว่าหูเขาสวยบ่อยๆ เธอคงล้อเขาเล่นเพราะ Van Gogh หน้าตาไม่ดีและหูเขาดูตลก มันเล็กหยิกน่าเกลียดเหมือนหูนักมวยที่ถูกชกบ่อยๆ
     
Van Gogh ไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้บ่อย เขาจึงเป็นคนซื่อบื้อเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้หญิง เมื่อถูกชวนให้ไปเที่ยวบาร์อีก เขาจึงปฏิเสธว่าเขาไม่มีของกำนัลให้ผู้หญิงและไม่รู้ว่าผู้หญิงชอบอะไร เมื่อถูกขยั้นขยอให้ไปในภายหลังเขาก็ไป

ไปพร้อมกับของกำนัล คือหูข้างที่ผู้หญิงบาร์คนนั้นชมว่าสวยไปให้!
แทนที่จะได้รับคำขอบคุณ กลับถูกกล่าวหาว่าบ้า      
     
Van Gogh แกมันบ้าไปแล้ว!    
หูที่เหลือข้างเดียวของเขาอื้ออึงด้วยคำประณามเหล่านี้ จนต้องเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลโรคจิต แม้แต่ในที่นี้เขายังเขียนภาพออกมาได้หลายภาพ ภาพหนึ่งเป็นภาพเหมือนของหมอที่รักษาเขา
       
หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ วันที่ 27 กรกฏาคม ปี ค.ศ. 1890 เขาก็เลือกทางออกของชีวิตด้วยการยิงตัวตายและเสียชีวิตอีกสองวันต่อมา รวมสิริอายุได้เพียง 37 ปีเท่านั้น

อัจฉริยะ อายุสั้นเสมอ! “Art Longa Vita Brevis”

ศิลปะนั้นหนายืนยาว ...แต่ชีวิตเราทั้งเขลาและสั้น

Van Gogh ตลอดชีวิตของการเป็นศิลปิน เขาทำงานหนัก อุทิศตนและซื่อสัตย์ในวิชาชีพ Van Gogh ไม่เคยปริปากบ่นกับใคร ที่เรารู้เรื่องชีวิตของเขาจากการประมวลเนื้อหาจากจดหมายที่เขาเขียนถึงน้องชายของเขาเท่านั้น..ในชีวิตของเขารังสรรค์ผลงานไว้ราว 2,000 ชิ้น เป็นภาพสีน้ำมันราว 900 ภาพ ซึ่งในจำนวนนี้มีอยู่ราว 200 ภาพที่เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์และถูกประมูลซื้อมาด้วยมูลค่ามหาศาล
แต่ผลงานของเขาทั้งหมดที่ขายได้ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่มีเพียงภาพเดียวเท่านั้น และเป็นภาพที่น้องชายเขาซื้อไว้เอง เพื่อส่งเงินให้ซื้อสีและจ่ายค่าเช่าบ้านให้เขา เชิญมอง ภาพนี้ใหม่ครับ ด้วยมุมมองและความเข้าใจใหม่
     
      บางที คุณอาจได้แง่คิดดีดีจากภาพนี้ เพิ่มขึ้นอีกก็ได้

รายการบล็อกของฉัน